วิธีอ่านงบการเงินแบบกระชับ
วิธีการดูข้อมูลงบการเงินในจุดสำคัญๆ ไม่ใช่ตำราการวิเคราะห์งบการเงินฉบับเต็ม ที่ต้องเขียนเป็น 100 หน้า และอ่านนานเป็นวันๆ แต่จะสรุปเฉพาะจุดสำคัญที่ท่านควรดูเป็นขั้นต่ำ โดยไม่ใช้เวลามาก (จนหมดกำลังใจที่จะอ่านต่อ) สามารถเห็นได้ว่าหุ้นที่ดูนั้นเป็นหุ้นดีที่น่าสบายใจ หรือเป็นหุ้นแย่ที่มีจุดเสี่ยงจุดเปราะที่ควรหลีกเลี่ยง
.
โดยจุดสำคัญของงบการเงินที่ควรจะดูเป็นขั้นต่ำ ได้แก่
1. รายงานความเห็นของผู้สอบบัญชี แม้ว่าจะค่อนข้างยาว โดยส่วนหนึ่งเป็นการแจงของผู้สอบบัญชีว่าได้สอบถามตรวจทานมาอย่างไร และกล่าวถึงว่า ผู้บริหารเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำงบ เป็นต้น
จุดที่สำคัญที่สุดที่ต้องหาให้ได้คือ ถ้อยคำว่า ”งบการเงินนี้ถูกต้องตามที่ควรในสาระสําคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน” หรือ “ไม่พบสิ่งที่เป็นเหตุให้เชื่อว่าข้อมูลทางการเงินดังกล่าวไม่ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการบัญชี” แต่ถ้าอ่านเจอคำว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัท” แบบเดียวกับหุ้นที่กำลังโด่งดังอยู่ขณะนี้ ต้องเลี้ยวหนีทันที
นอกจากนั้น ในรายงานผู้สอบบัญชี ให้ดูต่ออีกนิดว่า มี ”ข้อสังเกต” หรือไม่ ถ้ามีก็ควรอ่านดูว่า ประเด็นข้อสังเกตนั้นทำให้เรากังวลหรือไม่กังวล
แต่ถ้าใครอยากได้ตัวช่วยสรุปความเห็นผู้สอบบัญชีเร็วขึ้นไปอีก ให้ไปดูจาก Factsheet ในเว็บไซต์ของ settrade เขาได้ช่วยสรุปความเห็นผู้สอบบัญชีไว้ให้เรียบร้อยสั้นๆ เช่น ไม่มีเงื่อนไข หรือไม่มีเงื่อนไขและมีข้อสังเกต เป็นต้น
.
2. ดูการเติบโตของรายได้ กำไรสุทธิ สินทรัพย์ ควรใช้ตัวช่วยจากตัวเลขสรุป 5 งวดปี ที่เว็บไซต์ SET และ settrade ช่วยนำข้อมูลมาเรียงเป็นตารางให้เรียบร้อย ธุรกิจโดยทั่วไปที่ไม่ใช่หุ้นวัฏจักรแบบเข้มข้น (Cyclical Stock) ควรมีแนวโน้มเติบโตให้เห็นได้ จากการเรียงข้อมูลประมาณ 5 ปี โดยไม่จำเป็นต้องโตทุกปีก็ยอมรับได้ เพราะการลดหย่อนนิดๆ หน่อยในบางปีไม่ใช่เรื่องแปลกในประเทศที่เศรษฐกิจไม่ได้เติบโตมากแบบไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และผมคิดว่าอาจต้องยอมเว้นวรรคข้ามการดูปี 2563 และ 2564 ที่เป็นช่วงวิกฤตโควิดอย่างหนักจนตั้งหลักไม่ทัน เพราะไม่ใช่สิ่งที่เกิดได้บ่อยๆ
การเรียงข้อมูลเทียบแค่ 2 ปี หรือ 3 ปี ไม่เพียงพอให้เห็นทิศทางที่ผ่านมาว่าเติบโตหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นธุรกิจวัฏจักรเข้มข้น เช่น ปิโตรเคมี น้ำมัน โลหะ สินค้าเกษตร สายการบิน เป็นต้น
ทั้งนี้ หุ้นวัฏจักรแบบเข้มข้น จะมีพฤติกรรมราคาสินค้าและกำไรผันผวนมากเป็นวัฏจักร ช่วงที่ดีจะขึ้นแรงจนตะลึงประมาณ 2 ปี แล้วสลับด้วยการดิ่งเหวประมาณ 2 ปี ยามลงแรงอาจถึงขั้นผลดำเนินงานขาดทุน แล้วก็จะกลับเข้าสู่วงจรขาขึ้นรุนแรงใหม่ สลับกันเช่นนี้ไปเรื่อย
ดังนั้น ใครเอางบแค่ 2-3 ปี มาดูก็จะเข้าใจผิดว่าเป็นหุ้นเติบโตสูง หรือในช่วงแย่ก็นึกว่าเป็นหุ้น Sunset คือ ชีวิตธุรกิจจบสิ้นแล้ว ซึ่งจะกลายเป็นการมองผิดพลาดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเรียงงบ 5 ปี ก็จะเห็นได้ถึงพฤติกรรมของวัฏจักรได้ชัดเจน
ตัวเลขยอดรายได้ และกำไรสุทธิที่นำมาดู ควรเป็นรายได้และกำไรที่เป็นปกติของการดำเนินธุรกิจ ไม่ใช่ฟลุค ที่เป็นรายการพิเศษครั้งเดียว เช่น ขายที่ดินกำไรครั้งเดียวโดยไม่ได้มีอาชีพจัดสรรที่ดิน หรือกำไรจากการแก้ไขปัญหาหนี้แล้วเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ เป็นต้น
3. ดูตัวเลขที่แสดงว่าบริษัทนี้มีคุณภาพกำไรในอัตราที่ดีหรือไม่ นอกเหนือไปจากเราจะดูตัวเลขกำไรสุทธิ กำไรต่อหุ้น ที่อยู่บรรทัดล่างของงบกำไรขาดทุนแล้ว คงต้องเอาตัวเลขมาหารหาอัตราส่วนกำไรด้วย เช่น กำไรสุทธิหารด้วยยอดรายได้ (Net Profit Margin) กำไรสุทธิหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)
ธุรกิจที่ดี ควรมีอัตรากำไรที่สูง และเทียบยาวๆ 5 ปี อัตรากำไรไม่หดแคบลง ถ้ามีเวลาอีกนิด น่าจะลองไปดูของคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันจะเห็นได้ชัดขึ้น
ควรเลี้ยวไปเหลือบมองงบกระแสเงินสดสักนิด ในบรรทัดที่เขียนว่า เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน หรือพูดง่ายๆ คือ เงินสดจากกำไรของกิจกรรมค้าขายที่บวกกับบรรดาค่าเสื่อมราคาที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่ต้องเงินออกไป (เพราะซื้อมาก่อนแล้ว) และไม่รวมการลงทุนต่างๆ ไม่รวมการกู้ยืมหรือคืนเงินกู้
ในบางรายที่โชว์ว่ามีกำไรสุทธินั้น แต่พอไปดูบรรทัดเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานกลับติดลบ กรณีนี้ ถ้าเรายังจะสนใจหุ้นนี้ ก็คงต้องเพิ่มการบ้าน ให้ไปเจาะดูเพิ่มอีก เช่น ดูว่ามียอดลูกหนี้สูงขึ้นมากใช่ไหม หรือสต็อคสินค้าคงเหลือในบริษัทพุ่งขึ้น จึงทำให้ตัวเลขกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้ ดูไม่สวยงามนัก ท่านอาจต้องพิจารณาเพิ่มให้ดีว่า ลูกหนี้มีปัญหาค้างชำระเกินสมควรหรือไม่ และทำไมสต็อควัตถุดิบและสินค้าพุ่ง เป็นเพราะขายไม่ออกหรือไม่
กรณีที่กล่าวไปนี้ เรายังไม่นับรวมกรณีตุกติกทางบัญชี ซึ่งต้องเรียนว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะจับทันได้ทั้งหมดจากการดูในงบการเงินที่แจ้งออกมา นักลงทุนและนักวิเคราะห์คงต้องพยายามเลือกหุ้น โดยค้นหาประวัติและพฤติกรรมที่ผ่านมาของผู้บริหาร ทีมงาน กรรมการ และผู้ถือหุ้นหลัก ซึ่งก็คงกรองได้เพียงบางส่วนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายที่เขาเนียนกริ๊บ แสดงหลักฐานว่ามียอดขาย มีใบเสียภาษีต่างๆ ยืนยันอีกด้วย
4. ความเสี่ยงและสภาพคล่องทางการเงิน โดยหลักแล้ว บริษัทที่มีหนี้น้อย ส่วนของทุนมาก และบริหารโครงสร้างการเงินดี ย่อมมีความเสี่ยงที่ต่ำ มีแรงทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอหรือถดถอยได้ดี
ให้ดูอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ตัวเลขที่ต่ำเป็นตัวเลขที่สบายใจในแง่ความเสี่ยงทางฐานะการเงิน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่แข็งแรงและมีการเติบโตดีจริง อาจไม่ใช้สัดส่วนนี้ต่ำมากๆ เนื่องจากความจำเป็นต้องขยายงาน และในความเป็นจริง ต้นทุนดอกเบี้ยกู้นั้น ต่ำกว่าต้นทุนที่ถูกเรียกร้องจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Cost of Equity )
ดังนั้น เราอาจเห็นบริษัทดีๆ มีสัดส่วนเกิน 1 เท่าไปบ้าง อาจจะใกล้ 2 เท่าก็ไม่ต้องตกใจ แต่หากเห็นกิจการที่กำไรไม่ค่อยดี แล้วมีระดับ D/E 3-4 เท่า อันนี้น่าเสียวไส้ เพราะเป็นการแบกความเสี่ยงทางการเงินที่สูงเมื่อเทียบกับพลังในการสร้างกำไรมาจ่ายคืนหนี้ และหากมีสถานการณ์ธุรกิจชะลอหรืออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นไปมาก ภาระนี้ก็คงหนักหนาขึ้น โอกาสทำกำไรก็จะยิ่งยากเป็นเท่าตัว
ในเรื่องหลักเกณฑ์อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนใกล้ 1 เท่านี้ ไม่ไปใช้กับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องระดมหนี้จากเงินฝาก เอามาเป็นสินค้าที่เอาไปขาย (ปล่อยกู้) และกินส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ทำให้อัตราส่วนจะไปเกือบ 10 เท่า วิธีวิเคราะห์งบธนาคารจะมีหลักเกณฑ์และรายละเอียดแตกต่างไปจากธุรกิจอื่นมาก ซึ่งในวันนี้เรายังไม่เข้าไปเขียนถึง
กรณีที่ค่า D/E สูง อาจต้องดูอัตราส่วนสภาพคล่องการเงินระยะสั้นอีกสักนิด ที่เรียกว่า Current Ratio นั่นคือ ในงบดุล ให้เอาบรรทัดสินทรัพย์หมุนเวียนมาหารด้วยหนี้สินหมุนเวียน โดยทั่วไปเราคงต้องการให้เกิน 1 เท่า เพื่อให้พอหมุนเวียนจ่ายหนี้ระยะ 1 ปีทัน เงินไม่ช็อตไปเสียก่อน
แต่ถ้าจะเอาให้ชัวร์ ควรไปถึงขั้นใช้ Quick Ratio คือ สินทรัพย์หมุนเวียนที่ไม่นับรวมสินค้าคงเหลือในมือ แล้วหารด้วยหนี้สินหมุนเวียนเเบบเต็มคาราเบล ตัวเลขก็จะต่ำกว่า Current Ratio ลงไปบ้าง ซึ่งเป็นวิธีที่คัดกรองความเสี่ยงทางสภาพคล่องได้มั่นใจขึ้น โดยเฉพาะกรณีของกิจการที่แอบมีสินค้าคงเหลือเกินปกติ ถ้าคำนวณ Quick Ratio ตัวเลขจะลดฮวบลงมาเยอะเช่น Current Ratio อยู่ที่ 1.1 แต่ Quick Ratio ทรุดมาที่ 0.7 เป็นต้น
5. ตรวจตัวเลข ลูกหนี้ สินค้าคงเหลือ ว่าดูเป็นปกติดี ตัวเลขเหล่านี้ถ้าดูอันตราย มักเป็นจุดเริ่มต้นของหุ้นที่จะมีปัญหา ปกติจะมีตัวเลขที่ขยายสอดคล้องไปกับการเติบโตของการขาย ซึ่งอาจเร็วช้ากว่ากันนิดหน่อยได้ แต่กรณีที่ต้องระวัง คือการพุ่งขึ้นพรวดพราดของยอดลูกหนี้ และหรือสินค้าคงเหลือ เช่น ยอดขายเพิ่มขึ้น 10% แต่ยอดลูกหนี้พุ่งขึ้น 70 % อันนี้ท่านลองไปดูคำอธิบายในเอกสาร คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ (MD&A) ที่เขาส่งมาพร้อมงบการเงิน อาจอธิบายไว้ในนั้น ท่านต้องชั่งใจดูว่า คำอธิบายสมเหตุผลน่าสบายใจไหม และถ้าไม่มีคำอธิบาย ผมว่าเราต้องระวัง
ลองคำนวณตัวเลขลูกหนี้เทียบระยะเป็นจำนวนวันหรือเดือนของการขาย เช่น ถ้ามียอดขาย ปีละ 2,400 ล้านบาท เท่ากับเฉลี่ยได้เดือนละ 200 ล้านบาท แต่มียอดลูกหนี้พุ่งขึ้นเยอะเป็น 1,200 ล้านบาท เมื่อเอายอดลูกหนี้หารด้วยยอดขายต่อเดือน ปาเข้าไปประมาณ 6 เดือน ถือว่าค้างกันนานมาก ลองมองปีก่อนเทียบกัน ว่าพุ่งมาจากระดับกี่เดือน และหรือดูลักษณะธรรมชาติทางธุรกิจของเขาว่าเป็นการขายของเงินผ่อนประชาชนหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่าอาจมีปัญหาลูกหนี้เกิดขึ้น
คำนวณตัวเลขสินค้าคงเหลือว่าค้างผิดปกติหรือไม่ โดยเทียบระยะเป็นจำนวนวันหรือเดือนของต้นทุนสินค้าขาย โดยทั่วๆ ไป น่าจะคงเหลือไว้ไม่นานไปกว่า 2-3 เดือน ขึ้นกับลักษณะธุรกิจ ถ้าคงเหลือค้างนานเท่ากับรอขายครึ่งปี แบบนี้ต้องไตร่ตรองดีๆ ว่ามีคำอธิบายที่สมเหตุผลหรือไม่ครับ
ผมจำได้ว่าเคยมีเคสที่มีปัญหา เป็นหุ้นในอดีตรายหนึ่งเมื่อสัก 15 ปีก่อน ที่ทำธุรกิจโชว์รูมรถหรูนำเข้า มียอดสินค้าคงเหลือนาน 6-7 เดือน ซึ่งผมก็รู้สึกแปลกใจมาก เพราะโดยทั่วไปน่าจะเป็นการจองโดยมีแค่รถโชว์ไม่กี่คัน ซึ่งต่อมาหุ้นนี้มีปัญหามากมายหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องสินค้าคงคลังกลายเป็นสินค้าทิพย์เกือบทั้งหมด คือไม่มีสต็อคอยู่จริง
ทั้งหมดนี้ เป็นเทคนิคอ่านงบแบบกระชับ 5 ข้อ ที่ผมหวังว่าจะช่วยให้นักลงทุนได้นำไปใช้คัดกรองให้ได้หุ้นที่ดี หนีหุ้นที่แย่ได้พอสมควร
#หุ้น #News #งบการเงิน #ลงทุน #เล่นหุ้น
เครดิต
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน
WealthyThai
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น